คุยอีกมุม “นนท์ อินทนนท์” 10 ปีวิ่งหาโอกาส จนได้เป็นนักแสดง

ขยับจากอินฟูลฯ และติ๊กต็อกเกอร์สายฮาชื่อดัง สู่นักแสดงมากความสามารถ สำหรับ “นนท์ อินทนนท์” หนึ่งในนักแสดงหลักของภาพยนตร์ “พี่นาค” ที่ภาคล่าสุดโกยเงินทะลุ 100 ล้านไปแล้ว

คุยอีกมุม “นนท์ อินทนนท์” 10 ปีวิ่งหาโอกาส จนได้เป็นนักแสดง

โดย “พีพีทีวี” มีโอกาสได้พูดคุยแบบเอ็กซ์คูลซีฟกับ “นนท์ อินทนนท์” ถึงเรื่องราวเส้นทางความฝันก่อนก้าวขาเข้าสู่วงการบันเทิง และสิ่งที่ทำให้ภูมิใจสุดๆ ซึ่งเจ้าตัวเล่าเปิดอกมาว่าคำพูดจาก เว็บสล็อตเว็บตรง

เส้นทาง “นนท์ อินทนนท์”

“เมื่อก่อนเรียนการแสดง มศว (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) แล้วรู้สึกว่าเราอยากเป็นนักแสดง เพราะเราชอบเล่นละคร แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้โอกาส ก็พยายามมุ่งหาโอกาส ไปแคสต์ ไปเป็นผู้ช่วยแคสต์ เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่น ก็คืออยู่เวียนว่ายในสารระบบของวงการบันเทิงประมาณ 10 กว่าปี ตอนไปแคสต์เราก็จริงจัง แต่ไม่ค่อยได้หรอก เพราะว่าสุดท้ายมันก็จะมีคนที่ดีกว่าเสมอ เราก็จะรู้สึกว่านอยจังเลย ก็เลยมาทำเบื้องหลัง เป็นผู้ช่วยแคสติ้งบ้าง เป็นคนไปแคสต์ให้คนอื่นบ้าง หรือว่าเป็นผู้ช่วยเขาต่างๆ 1 2 3 4 อะไรว่ากันไป

ยอมรับว่าท้อมากเลยนะ เมื่อเราเห็นทุกคนเติบโต เพื่อนเราทุกคนเป็นดารา แต่เราก็ไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา เราแค่รู้สึกยินดีกับเขา วันนึงถ้ามีโอกาสคงได้ทำแบบนั้น แต่พอเราอายุเยอะ ก็รู้สึกมันอาจจะไม่ใช่แล้วมั้ง เราจะมีชื่อเสียงหรือคนรู้จักเราตอนเราช่วงอายุนี้เหรอ แต่มีคนนึงเคยบอกเราว่า จริงๆแล้วช่วงอายุไม่เกี่ยว มันอยู่ที่จังหวะ โอกาส และความเพียรพยายาม เราก็พยายามทำของเราไปเรื่อยๆ มันอาจจะยังไม่ได้เป็นตัวตนมากมาย เพราะเรายังไม่ได้บอกเขาว่าเราเป็นอะไร พอเราบอกเขาปุ๊ปว่าเราได้เป็นตัวเองเต็มที่ กลายเป็นว่าเสน่ห์มันออกจากความเป็นตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นว่าทุกคนจอยและเข้าถึงง่าย ก็เลยกลายเป็นอินนทนนท์ทุกวัน ได้การตอบรับมากมาย การเป็นนักแสดงมันยิ่งใหญ่สำหรับนนท์มากเลยนะ รู้สึกว่ามันมีความหมายกับเราสุดๆ เพราะคนดูจะเห็นว่าเราแสดงได้ เราสามารถเข้าถึงบทบาทได้ ทำงานตรงนี้ได้”

ส่วนหนึ่งหนัง “พี่นาค”

“วันนั้นเราถ่ายละครของช่องนึงอยู่ มีคนโทรมาหาทางทีมว่าอยากให้มาลองแคสต์ แค่ได้ยินคำว่าแคสต์เราก็ดีใจ โอ๊ย ‘พี่นาค’ เหรอ เราดูเรื่องนี้นะ พอแคสต์เสร็จปุ๊ป เขาก็หายไปนานมาก จนเรารู้สึกว่าคงไม่ได้แล้วแหละ แล้วสักพักนึงเขาก็โทรมาคอนเฟิร์มให้เราเล่นบทนี้นะ เป็นประมาณนี้ เขาก็โทรมาเล่าคาแร็กเตอร์ แต่เราบอกเขาว่าไม่ต้องอะไรเลย เราโอเค บอกผู้จัดการว่าเรารับเล่น ความรู้สึกเหมือนเติมเต็มมาก เพราะเรารู้สึกว่าเราได้เล่นจริงๆ มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง เพราะปกติเราก็จะเล่นเป็นคนในออฟฟิศขำๆ สนุกสนานไป แต่อันนี้มันเป็นเส้นเรื่องของเราที่เราไปพบเจอเราไปทำสิ่งนี้แล้วมันเป็นสิ่งนี้ แล้วมันโดนสิ่งนี้มา ตอบกลับเพราะว่า เราเป็นตัวกระทำ กับกระแสตอบรับรู้สึกดีใจมากๆ ที่คนชื่นชอบ (ยิ้ม)”

ดาวติ๊กต็อก อินฟูล สู่นักแสดง

“(หัวเราะ) สิ่งที่เราเอามาลงในติ๊กต็อก เราจะรู้จักคนพวกนี้มานานแล้ว เราถึงบอกว่า เราเอามาลง เรารู้จักกับ “ใบเฟิร์น” (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) มาเป็น 10 ปี รู้จัก “ลิลลี่” (ภัณฑิลา วิน ปานสิริธนาโชติ) ประมาณ 7-8 ปี รู้จัก “เจษ” (เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์) ก็ 10ปี เหมือนกัน ทุกคนก็ผ่านการเรียนรู้กัน ว่าเป็นนิสัยประมาณนี้ และเรารู้สึกว่ามันธรรมชาติ คนก็จะได้รู้สึก เห็นเพิ่มเติมได้มุมเพื่อนเราว่าเป็นยังไง เป็นฟีลนี้นะ คนศีลเสมอกันจะอยู่ด้วยกันได้

คือคนก็จะเซอร์ไพรส์เลยว่า เจษ ไม่ได้เป็นคนขี้เก๊กนี่นา เป็นคนเท่มาก เป็นคนน่ารักเฟรนลี่สุดๆ ไปเลย ส่วน ใบเฟิร์น ก็จะเป็นคนโก๊ะ และ ลิลลี่ ก็จะเป็นคนตลกได้โดยธรรมชาติอะไรของเขา เราดีใจมากที่ได้แบบเป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้คนได้เห็นเขา หลังๆก็จะเป็นฟีลให้กำลังใจ โทรมาว่าเป็นยังไงบ้าง คือไม่ต้องคุยกันทุกวัน พอคุยกันปุ๊ปจูนติดเลย วันนั้นนั่งคุยกันที่บ้านแล้วใบเฟิร์นมองหน้ากันบอกว่า ‘พี่นนท์มาไกลมากเลยอะ เหมือนตอนหนูแรก หนูก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชินแล้วจะมีความสุขกับการทำงานมึงมากขึ้น เราดีใจมากนะที่ทุกคนจะยินดีกับเรามากๆ ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เราขอบคุณที่เวลาเราขอความช่วยเหลือจากพวกเพื่อนกลุ่มพวกนี้ เขาพร้อมจะช่วยเราเสมอ สมัยตอนที่เรายังไม่มีชื่อเสียง เพราะแบบนี้เวลามีอะไรที่เพื่อนขอให้ช่วยเราไม่ลังเลเลยกับการที่จะช่วย

รวมไปถึงคนที่ติดตามเราก็มีส่งข้อความมาหา ก็เป็นพลังในการที่เราจะอยู่ตรงนี้ ทุกครั้งที่เราไปงาน เราก็จะเป็นตัวเล็ก รู้สึกว่าใครจะรู้จักเราว ใครจะมากรี๊ด มาสนใจ เราพึ่งเข้ามาตรงนี้มาจริงจังได้ปีกว่าๆ ก็ไม่คิดว่าการที่เรามาเล่นติ๊กต๊อกคนจะรู้จักเรา และคิดว่าเราเป็นเพื่อนออนไลน์กับเขาได้ ดีใจมาก ตื่นตันมาก น้ำตาไหลทุกครั้งที่เวลาเราเจอคน พอเรามาอยู่จุดนี้มีคนเข้าหา เยอะจนเราบางที ถ้าเราเหลิงไปกับสิ่งนี้มากๆ วันนึงตัวตนเราจะเสียไป เราอยากที่จะเท้าติดพื้นตลอดเวลา และรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรอยู่ อยากเป็นคนรู้จักในเวย์ของเรา แค่ว่าอาจจะต้องระวังคำพูดมากขึ้น แล้วก็คิดก่อนพูดมากขึ้น เพราะว่ามันอยู่ในโซเซียลมันอยู่ตลอดไป เราต้องเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนมากขึ้น แค่นั้นเอง เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องปรับเปลี่ยนหรือดูแพง คือเป็นตัวเรานี่แหละ มั่นใจว่าตัวเราเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและจะอยู่กับมันนาน”

เปิดโปรแกรม 10 นัดสุดท้าย อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูล และ แมนซิตี้ ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

สรุปผล Oscar 2024 “คิลเลียน เมอร์ฟี – เอมมา สโตน” ซิวนักแสดงนำ หนัง “Oppenheimer” กวาด 7 รางวัล

บัตรสวัสดิการฯ เตรียมรับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เพิ่ม เริ่มโอนงวดแรก 11-13 มี.ค.